Mr. Bean’s Holiday

วันอาฑิตย์ที่ผ่านมาเกิดอาการเซ็งเล็กๆ (หรือใหญ่ก็ไม่รู้) เลยออกไปดูหนังที่ Esplanard หลายๆคนเชียร์ให้ไปดูเรื่องแฝด แต่ผมอยากดูหนังสบายๆมากกว่า Mr.Bean จึงเป็นคำตอบสุดท้ายในวันนั้น หลังจากทานอาหารเที่ยง และซื้อเสื้อที่ Robinson รัชดาเสร็จก็เดินตรงดิ่งไป Esplanard ทันที ได้ตั๋วเวลา 15:40 รอประมาณ 20 นาทีก็ได้ดูแล้ว ราคาตั๋วแพงพอสมควร 140 บาทสำหรับที่ธรรมดา ผมเลือกแถวบนสุดสำหรับตั๋วราคา 140 บาท เห็นที่นั่งว่างอยู่สามที่ ไปดูคนเดียวเลยไม่ใช่ปัญหา เหลืออีกสองที่น่าจะพอดีสำหรับคนมาเป็นคู่ (ดันไปคิดแทนโรงหนังเค้าอีก ^^”)

พอเข้าไปนั่งผมก็แปลกใจที่คนนั่งข้างๆล้วนมาคนเดียวเหมือนกัน ด้านซ้ายเป็นชายอายุน่าจะ 40-45 ด้านขวาเป็นชายรุ่นไล่เลี่ยกัน ที่แปลกใจเพราะปกติมีไม่กี่คนที่จะมาดูหนังคนเดียว เข้าใจว่าเป็นความชอบส่วนตัว คงชวนเพื่อนๆแล้วไม่มีใครอยากมาด้วยกระมัง เพราะเรื่อง Mr.Bean ในทีวีที่เคยดูจะตลกฝืดๆ พอบอกว่าจะมาดูเรื่องนี้ใครๆก็ส่ายหัว แต่ช่วยไม่ได้ ผมชอบ!

ภาคนี้เท่าที่ดูแบบไม่ Bias ผมคิดว่าดีกว่าทุกๆภาคที่เคยดูมานะ เป็นเรื่องของมิตรภาพของ Mr.Bean และคนที่ได้พบเจอระหว่างการไปเที่ยวทะเลของเค้า ลองมาดูเรื่องย่อจากเว็บกัน

บ่ายวันหนึ่งที่ฝนโปรยปรายในอังกฤษ มิสเตอร์บีนดีใจอย่างมากที่ชนะรางวัลที่ 1 ในการจับสลากรางวัลในโบสถ์แถวบ้าน รางวัลดังกล่าวก็คือการไปพักผ่อนนานหนึ่งอาทิตย์ในทางตอนใต้ของฝรั่งเศส พร้อมกับกล้องวิดีโอตัวใหม่อีกหนึ่งตัว เขาจะได้ไปพักผ่อนที่เมืองคานส์ ในช่วงที่มีการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุด

เขาขึ้นเครื่องยูโรสตาร์มุ่งหน้าไปยังปา รีส และถ่ายภาพทุกอย่างด้วยกล้องวิดีโอตัวใหม่ของเขา ที่ Gare de Lyons เขาขอให้ผู้โดยสารอีกคนถ่ายภาพให้ขณะที่เขาขึ้นรถไฟเพื่อมุ่งหน้าไปยังเมือง คานส์ ชายคนนี้ก็คือผู้กำกับภาพยนตร์ชาวรัสเซีย เอมิล ดูเชสฟสกี้ ผู้เดินทางไปยังเมืองคานส์เพื่อเป็นคณะกรรมการตัดสินที่งานเทศกาลภาพยนตร์ เอมิลยอมถ่ายให้ แต่ในความยุ่งเหยิงระหว่างการถ่ายทำ เอมิลถูกทิ้งให้ยืนอยู่ที่สถานีรถไฟขณะที่รถไฟเคลื่อนขบวนออกจากชานชาลา

มิสเตอร์บีนอยู่ระหว่างมุ่งหน้าสู ่ตอนใต้เมื่อเขารู้ว่าสเตพาน ลูกชายวัย 10 ขวบของเอมิล อยู่บนรถไฟขบวนนี้ด้วยโดยไม่มีพ่อของเขามาตามดูแล และทั้งคู่พูดกันคนละภาษา

มิสเตอร์บีนและสเตพานลงรถไฟที่สถานีถัดไ ปเพื่อรอเอมิล แต่รถไฟขบวนถัดมาเป็นรถด่วน และเอมิลเดินทางมุ่งตรงไปยังเมืองคานส์ เมื่อมิสเตอร์บีนและสเตพานขึ้นรถไฟขบวนต่อมา มิสเตอร์บีนลืมทั้งเงิน ทั้งตั๋ว และทั้งพาสปอร์ตเอาไว้ที่ชานชาลา พวกเขาจึงถูกไล่ลงจากรถไฟเพราะไม่มีตั๋ว ถูกทิ้งให้อยู่ในสภาพไม่มีเงินสักบาทอยู่ในฝรั่งเศส

เอมิล พ่อของสเตพานแจ้งความกับตำรวจเรื่องมิสเตอร์บีน และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการตามล่าไปทั่วประเทศ เพื่อค้นหาลูกชายของเขา
สเตพานและมิสเตอร์บีนเกิดมิตรภาพที่ ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ สเตพานเป็นเด็กฉลาดและเจ้าความคิด พวกเขาทำงานด้วยกันได้ดี ในไม่ช้า พวกเขาก็สามารถหาเงินได้มากพอทีจะขึ้นรถบัสเพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองคานส์ ยกเว้นแต่ตั๋วของมิสเตอร์บีนดันไปติดอยู่ที่เท้าของไก่ ทำให้เขาพลาดรถบัสนั่น…

เมื่อไม่มีสเตพาน คู่หู และต้องหลงอยู่ในดินแดนชนบทอันกว้างไกลของฝรั่งเศส มิสเตอร์บีนเดินทางรอนแรมลงใต้ ในเวลากลางคืนเขาเดินเข้าไปเมืองและหาที่หลับนอนอยู่ใต้รถขนกองฟาง เช้าวันรุ่งขึ้น เขาตื่นขึ้นมาและพบว่าตัวเองอยู่ในเมืองที่ดูเหมือนเป็นหมู่บ้านที่สมบูรณ์แ บบของฝรั่งเศส แต่อันที่จริงแล้ว มันคือฉากของโฆษณาโยเกิร์ต ผู้กำกับโฆษณาชิ้นนี้ก็คือผู้กำกับชาวอเมริกันที่เป็นพวกหลงตัวเองชื่อ คาร์สัน เคลย์ ที่แวะหาเงินก่อนจะเดินทางลงใต้เพื่อเข้าร่วมงานรอบปฐมทัศน์ของภาพยนตร์อาร์ ตเฮ้าส์ของเขาที่ว่าด้วยเรื่องของตำรวจ เรื่อง Playback Time

มิสเตอร์บีนร่วมเดินทางลงใต้ไปพร้อมกับน ักแสดงสาวเซไบน์ ผู้รับบทเป็นพนักงานเสิร์ฟสาวในโฆษณาโยเกิร์ต และเธอตั้งใจจะไปเมืองคานส์เพื่อร่วมงานฉายรอบปฐมทัศน์ของภาพยตร์เรื่อง Playback Time ซึ่งเธอมีบทบาทเล็กๆ อยู่ เมื่อบีนได้มาเจอกับสเตพานอีกครั้งที่สถานีบริการของมอเตอร์เวย์ ทั้งสามคนจึงขับรถมุ่งหน้าลงใต้ในคืนนั้น

เมื่อมาถึงเมืองคานส์ พวกเขาได้เห็นภาพข่าวทางทีวี มิสเตอร์บีนโดนประกาศจับ และคนทั้งประเทศฝรั่งเศสกำลังตามหาตัวเขากับสเตพาน มีการปิดกั้นถนนเบื้องหน้า พวกเขาต้องผ่านเจ้าหน้าที่ไปให้ได้เพื่อไปร่วมงานรอบปฐมทัศน์ของภาพยนตร์เรื ่อง Playback Time และกลับไปหาพ่อของสเตพาน โดยบีนจะต้องไม่โดนจับ

มิสเตอร์บีนและสเตพานที่ปลอมตัวเป็นแม่แ ละลูกสาวของเซไบน์ สามารถผ่านด่านของเจ้าหน้าที่ไปได้ แต่เพราะมีตั๋วเพียงใบเดียว จึงมีแต่เซไบน์ที่สามารถผ่านเข้าไปร่วมงานฉายภาพยนตร์รอบปฐมทัศน์ได้

บีนและสเตพานแอบเข้าไปร่วมงานจากด้านหลั งเวที Playback Time ทำให้คนดูเบื่อจนน้ำตาร่วง บีนที่ทิ้งสเตพานเอาไว้ด้านหลัง พยายามดึงดูดความสนใจของเอมิลโดยไม่ทำให้พวกรปภ.รู้ตัว เมื่อการแสดงเพียงฉากเดียวของเซไบน์โดนตัดทิ้งออกจากตัวภาพยนตร์ บีนตัดสินใจที่จะช่วยเธอ หลังจากเข้าไปหลบรปภ.อยู่ในห้องฉายภาพยนตร์ เขาเลยนำภาพที่ถ่ายจากวิดีโอของเขาฉายขึ้นจอใหญ่ โดยใส่ภาพของเซไบน์เข้าไปในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย

การผสมผสานระหว่างตัวภาพยนตร์และภาพจากว ิดีโอของบีนทำให้คนดูเกิดความสนใจ แต่คาร์สัน เคลย์โกรธจนลมออกหู เขากับกลุ่มรปภ.พังประตูเข้ามาในห้องฉายภาพยนตร์เพื่อหยุดมิสเตอร์บีน แต่บีนหลบหนีไปได้ ขณะปีนป่ายข้ามห้วคนดูไป บีนเดินมาถึงเวที ขณะเดียวกันกับที่สเตพานเดินออกมาจากใต้จอภาพยนตร์ คนดูต่างลุกขึ้นยืนปรบมือให้พวกเขา
ภาพยนตร์เรื่อง Playback Time ของคาร์สัน เคลย์ได้รับคำชมว่าเป็นผลงานคลาสสิกแหวกแนว เซไบน์ได้รับการต้อนรับในฐานะดาราดัง และสเตพานได้กลับไปเจอกับแม่และพ่อของเขา แล้วมิสเตอร์บีนล่ะ?

เขาเดินหลบจากภาพการเฉลิมฉลองมุ่ง หน้าไปยังชายหาด ขณะที่ยืนอยู่ริมทะเลนั้น เขาถลกขากางเกงขึ้นและยิ้ม ในที่สุด วันหยุดพักผ่อนของเขาก็เริ่มต้นขึ้นเสียที

3 ความเห็น

ใส่ความเห็น